[Thairath news] - บีโอไอ ชี้ ต่างชาติยังไม่มีสัญญาณถอนลงทุนในไทย
หน้า 1 จาก 1
[Thairath news] - บีโอไอ ชี้ ต่างชาติยังไม่มีสัญญาณถอนลงทุนในไทย
บีโอไอเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ
ไม่มีใครถอนการลงทุนจากไทย นักลงทุน 46.8%
มีแผนจะขยายการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ โลหะ
เคมีภัณฑ์ และอิเล็กทรอนิกส์
วันที่2 ก.ย. นางอรรชกา สีบุญเรือง
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผย
ถึงผลการศึกษาและวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อ
ประเทศไทย ประจำปีนี้
ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุน ระหว่างเดือน
ก.พ.-มิ.ย.โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 404 บริษัท พบว่า ในช่วงปี 2554-2555
นี้ ไม่มีนักลงทุนต่างชาติรายใดมีแผนที่จะถอนการลงทุนออกจากประเทศไทย
โดยนักลงทุนต่างชาติ 49.8%
ยังวางแผนรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทยเท่ากับปัจจุบัน
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ 46.8 %มีเป้าหมายขยายกิจการเพิ่มขึ้น
“นักลง
ทุนต่างชาติในกลุ่มที่มีแผนจะขยาย กิจการในประเทศไทย สามารถแบ่งออกเป็น 2
กลุ่มคือ มีแผนจะขยายกิจการเล็กน้อย 29% และมีแผนจะขยายกิจการอย่างมาก
17.8% อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ อุตสาหกรรมโลหะ เคมีภัณฑ์
และอิเล็ทรอนิกส์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มนักลงทุน 3.4%
มีแผนที่จะลดขนาดการลงทุนลง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกิจการในอุตสาหกรรมเบา เช่น
สิ่งทอ เครื่องประดับ และเครื่องหนัง เป็นต้น
“
สำหรับปัจจัยลำดับต้นๆ
ที่นักลงทุนมองว่าเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ได้แก่
การให้สิทธิประโยชน์ของบีโอไอ และมาตรการสนับสนุนอื่น ๆ ของภาครัฐ
ความพร้อมของการมีโครงสร้างพื้นฐาน
และการมีแรงงานฝีมือเพียงพอและอัตราค่าจ้างแรงงานมีความเหมาะสม
รวมทั้งการมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วน
และอุตสาหกรรมสนับสนุนที่เข้มแข็งส่วนปัจจัยที่นักลงทุนมองว่าส่งผลกระทบต่อ
การตัดสินใจลงทุนมากที่สุด คือ เสถียรภาพทางการเมืองของไทย
สภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย เป็นต้น
นอกจากนี้
บีโอไอยังได้สำรวจข้อมูลเชิงลึก
ด้วยการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมต่างๆ 5 ประเภท ได้แก่
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์กระดาษและพลาสติก อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร
และอุปกรณ์ขนส่ง อุตสาหกรรมด้านการบริการสาธารณูปโภค และอุตสาหกรรมเบา
รวมทั้งสิ้น 30 บริษัท ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่
มีความพึงพอใจต่อผลตอบแทนในการดำเนินธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้น
โดยไทยมีจุดเด่นในด้านความพร้อมเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้า
ด้านสาธารณูปโภค และอุปนิสัยของแรงงาน ในขณะที่ยังมีจุดอ่อนได้แก่
ความยุ่งยากในการดำเนินงานเพื่อส่งออกสินค้า และการนำเข้าวัตถุดิบ
รวมทั้งแนวทางในการกำหนดนโยบายที่แตกต่างกันตามคณะรัฐบาลที่บริหารประเทศ
และเสถียรภาพทางการเมือง
สำหรับการเปิดเสรีการค้าภายใต้ประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียนในปี 2015
จะทำให้ไทยได้เปรียบในด้านของขนาดของตลาดที่เติบโตมากขึ้น
ต้นทุนการนำเข้าของวัตถุดิบถูกลง อย่างไรก็ตามจะทำให้มีจำนวนคู่แข่งมากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน การแข่งขันด้านราคามีสูง เป็นต้น
โดยผู้ประกอบการกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มั่นใจว่า
ประเทศที่มีศักยภาพด้านคุณภาพฝีมือแรงงานมากที่สุด คือ ไทย และ มาเลเซีย
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ต้นฉบับสคริปต์โดย Educationboard.in.th
พัฒนาสคริปต์โดย : Joneburapa
Similar topics
» [Thairath news] - ผู้ค้าน้ำมันเอกชน ขึ้นราคาน้ำมัน2วันติดต่อกัน
» [Thairath news] - รมช.พาณิชย์สั่งกรมส่งออกหนุนเพิ่มมูลค่าสินค้าอินทรีย์
» [Thairath news] - พาณิชย์ประกาศลดราคาขายหมูโลละ12บาท
» [Thairath news] - คุณแม่ยุคใหม่งัดกลเม็ด ปราบเซียนคุณลูกไฮเทค
» [Thairath news] - เอสเอ็มอีไทยเนื้อหอม ญี่ปุ่นแห่จีบลงทุนกว่า 200 ราย
» [Thairath news] - รมช.พาณิชย์สั่งกรมส่งออกหนุนเพิ่มมูลค่าสินค้าอินทรีย์
» [Thairath news] - พาณิชย์ประกาศลดราคาขายหมูโลละ12บาท
» [Thairath news] - คุณแม่ยุคใหม่งัดกลเม็ด ปราบเซียนคุณลูกไฮเทค
» [Thairath news] - เอสเอ็มอีไทยเนื้อหอม ญี่ปุ่นแห่จีบลงทุนกว่า 200 ราย
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|